สอน ทำ SEO ฟรี ด้วยเทคนิคคุณภาพ ดันเว็บไซต์ให้ติดอันดับ 1

สอน ทำ SEO ฟรี ด้วยเทคนิคคุณภาพ ดันเว็บไซต์ให้ติดอันดับ 1

อย่างที่เราเคยบอกกันไปหลายครั้ง ว่า SEO หรือ Search Engine Optimization คือ กลยุทธ์ทางการตลาดออนไลน์อย่างหนึ่ง ที่จะช่วยผลักดันเว็บไซต์ให้ติดอันดับในหน้าแรกของการค้นหาบน Google อีกทั้งยังช่วยทำให้เว็บไซต์มีจำนวนเข้าชมมากขึ้น ส่งผลทำให้ยอดขายเพิ่มสูงขึ้นด้วย ซึ่งปัจจุบันการทำ SEO นั้นมีหลากหลายรูปแบบ

ไม่ว่าจะการจ้างผู้เชี่ยวชาญที่รับทำ SEO หรือ ทำ SEO ฟรี ด้วยตัวเองที่จะมีผลลัพธ์แตกต่างกันออกไป ซึ่งหากใครที่มีความสนใจการทำ SEO ด้วยตัวเองอยู่แล้ว ห้ามพลาดกับสาระน่ารู้ที่พวกเรา คอมม่อน กราวด์ นำมาฝากในวันนี้ โดยเราจะมาสอน ทำ SEO ฟรี ด้วยเทคนิคคุณภาพผลักดันเว็บไซต์ให้ติดอันดับที่ 1 ได้ด้วยตัวคุณ เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา หากอยากเรียนรู้กันแล้วก็มาเริ่มกันเลย 

สอน ทำ SEO ฟรี แบบมืออาชีพ

ก่อนอื่นต้องขอบอกก่อนเลยว่าหลักการสอนที่เรานำมาฝากทุกคนในวันนี้ เป็นเพียงประสบการณ์ด้านการทำ SEO โดยตรง ซึ่งคุณสามารถศึกษา ทำความเข้าใจ และสามารถนำไปต่อยอด เพื่อพัฒนาการทำ SEO ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นได้ ซึ่งเราจะมาอธิบายอย่างละเอียดแบบ Step by Step ที่จะช่วยให้คุณเห็นภาพ และเข้าใจการทำ SEO มากยิ่งขึ้น 

  • ปูพื้นฐานการทำ SEO

ไม่ว่าจะเริ่มทำ SEO หรือทำการตลาดใด ๆ ก็ตาม สิ่งแรกที่ทุกคนควรเริ่ม คือ การศึกษา หรือปูพื้นฐานการทำ SEO อย่างละเอียด ว่า SEO นั้นคืออะไร? มีหลักการทำงาน การประมวลผล การจัดอันดับ และการแสดงผลการค้นหาบน Google อย่างไร ซึ่งเรารวบรวมข้อมูลพื้นฐานมาสรุปให้ทุกคนเข้าใจคร่าว ๆ 

SEO (Search Engine Optimization) คือ การทำให้เว็บไซต์ติดอันดับการค้นหาบน Google ด้วยปัจจัยหลายอย่างที่เป็นหัวใจสำคัญในการทำ SEO ที่คุณไม่ควรลืม และไม่ควรมองข้ามไปโดยเด็ดขาด ไม่ว่าจะเป็น Technical SEO, On-page SEO และ Off-page SEO ที่จะทำให้เว็บไซต์มีคุณภาพโดนใจ Google ได้ นอกจากนี้หลักการทำงาน การประมวลผล และการแสดงผลการค้นหายังมี 3 ขั้นตอนที่สำคัญ คือ การเก็บข้อมูลเว็บ (Crawling), ดัชนีการค้นหา (Indexing) และการจัดอันดับ (Retrieval & Ranking)

  • Research Keyword

แน่นอนว่าถ้าหากต้องการทำให้เว็บไซต์ติดอันดับในหน้าแรกของการค้นหา สิ่งที่คุณจำเป็นต้องทำอย่างยิ่งก็คือ Research Keyword หรือการวิเคราะห์หาคีย์เวิร์ดที่มีความเกี่ยวข้องกับกลุ่มเป้าหมาย และเว็บไซต์ของคุณ เพราะการวิเคราะห์เลือกใช้คีย์เวิร์ดที่เหมาะสม จะช่วยทำให้เว็บไซต์ติดอันดับการค้นหาได้ แถมยังได้ปริมาณ Traffic ที่มีคุณภาพอีกด้วย 

ซึ่งการวิเคราะห์คีย์เวิร์ดให้เหมาะสม และตรงกับกลุ่มเป้าหมาย ควรเลือกคีย์เวิร์ดที่มีคุณภาพ และมี Search Volume ไม่สูง และไม่ต่ำเกินไป โดยสามารถ Research Keyword ได้ด้วยวิธีง่าย ๆ คือ การใช้เครื่องมือ SEO Tool อย่าง Google Keyword Planner หรือ Ubersuggest ในการค้นหาคีย์เวิร์ด ปริมาณการแข่งขัน คุณภาพของคำ  Search Volume Cost Per Click และ Keyword Difficulty 

อย่างที่เราบอกไปว่าคีย์เวิร์ดที่เลือกใช้ให้เหมาะสม และตรงกับกลุ่มเป้าหมาย ควรเลือกให้มีปริมาณ Search Volume ไม่สูง และไม่ต่ำเกินไป หรือไม่ควรต่ำกว่า 1,000 Search เพราะการเลือกคีย์เวิร์ดที่มีการแข่งขันสูง อาจทำให้เว็บไซต์ติดอันดับ และเป็นที่รู้จักของกลุ่มเป้าหมายได้ยาก ถ้าเทียบกับคีย์เวิร์ดที่การแข่งขันน้อยกว่า แต่มีโอกาสติดอันดับได้ง่ายกว่า 

  • Competitor Analysis

Competitor Analysis คือ การวิเคราะห์คู่แข่ง ซึ่งเป็นกลยุทธ์ที่สำคัญที่จะช่วยทำให้คุณติดอันดับในหน้าแรกของการค้นหาเหนือคู่แข่งได้ เพราะการที่คุณวิเคราะห์เว็บไซต์คู่แข่ง จะทำให้คุณมองเห็นภาพรวมของการแข่งขัน และรู้ถึงจำนวนคู่แข่งในแวดวงธุรกิจเดียวกับคุณ 

อีกทั้งยังรู้ว่าคู่แข่งมีวิธีอย่างไรถึงทำให้เว็บไซต์ติดอันดับ และเป็นที่รู้จักของกลุ่มเป้าหมายอยู่เสมอ รวมทั้งยังทำให้รู้ว่าจะปรับแก้ หรือนำเทคนิคอะไรมาปรับแต่งเว็บไซต์เพื่อทำให้ SEO มีคุณภาพมากยิ่งขึ้น ซึ่งสิ่งที่คุณควรวิเคราะห์จากเว็บไซต์คู่แข่งหลัก ๆ ก็จะมีในเรื่องของ

  1. การเช็กค่าน้ำหนักตัวเว็บไซต์ 
  2. การเช็กอายุโดเมน 
  3. การเช็ก Mobile Friendly 
  4. การเช็กจำนวน Traffic คนเข้าชมเว็บไซต์ 
  5. การเช็กความเร็วของเว็บไซต์ สำรวจรูปแบบการเขียน Title 
  6. การเช็กโครงสร้างเว็บไซต์คู่แข่ง 
  7. การเช็ก Backlink ของคู่แข่ง

นอกจากคุณจะเช็กเว็บไซต์ของคุณแข่งแล้ว คุณก็อย่าลืมที่จะเช็กเว็บไซต์ของตัวเอง เพื่อนำมาเปรียบเทียบ และทำการวิเคราะห์ให้เห็นถึงความแตกต่าง จะได้สามารถหาจุดบอด หรือจุดด้อย และนำไปพัฒนาปรับปรุงเว็บไซต์ให้ถูกหลัก SEO มากขึ้น 

  • Website Structure

Website Structure หรือโครงสร้างเว็บไซต์ คือ แผนผังของเว็บไซต์ทั้งหมดที่แสดงให้เห็นถึงข้อมูลสำคัญ ไม่ว่าจะเป็น จำนวนหน้าทั้งหมดของเว็บไซต์ เนื้อหาในแต่ละเพจ การเชื่อมโยงลิงก์ในแต่ละเพจ รวมถึงการจัดวางโครงสร้างว่าเป็นมิตรต่อผู้ใช้งานหรือไม่

ซึ่งถ้าคุณสามารถจัดระเบียบโครงสร้างเว็บไซต์ได้ดี และเป็นมิตรต่อผู้ใช้งาน จะช่วยสร้างประสบการณ์ที่ดีต่อการใช้งาน ทำให้เว็บไซต์ของคุณติดอันดับในหน้าแรกของการค้นหาได้ดีขึ้น  ซึ่งการวางโครงสร้างเว็บไซต์มีด้วยกันทั้งหมด 4 รูปแบบ คือ 

  1. โครงสร้างเว็บแบบเส้นตรง (Linear Structure) 
  2. โครงสร้างเว็บแบบต้นไม้ (Hierarchical Structure) 
  3. โครงสร้างเว็บแบบเชื่อมโยงอย่างอิสระ (Web Linked Structure) 
  4. โครงสร้างเว็บไซต์แบบผสม (Hybrid Structure) 

แต่สำหรับการวางโครงสร้างเว็บไซต์ที่นิยมทำ และส่งผลดีต่อการทำ SEO มากที่สุด คือ โครงสร้างเว็บไซต์แบบต้นไม้ เนื่องจากสามารถสร้างเว็บไซต์ได้ทั้งขนาดเล็กไปจนถึงเว็บไซต์ยักษ์ใหญ่อย่าง E-commerce สามารถจัดหน้าเพจต่าง ๆ ออกเป็นหมวดหมู่ทำให้เข้าใจได้ง่าย และทำให้ Google สามารถเข้ามาเก็บข้อมูลเพื่อนำไปจัดอันดับได้อย่างง่ายดายอีกด้วย 

  • Technical SEO

สำหรับ Technical SEO จะเป็นเทคนิคการเพิ่มประสิทธิภาพ เพื่อปรับแต่งเว็บไซต์ให้ตรงตามความต้องการของ Google มากขึ้น โดยจะเน้นปรับแต่งในส่วนของโครงสร้างเว็บไซต์มากกว่าการปรับแต่งคอนเทนต์ โดยขั้นตอนการทำ Technical SEO บนเว็บไซต์หลัก ๆ ที่ควรรู้ คือ 

  1. การวางโครงสร้างเว็บไซต์ให้มีความ Friendly 
  2. การส่งโครงสร้างของเว็บไซต์ (Sitemap) ให้กับ Google
  3. การเพิ่มความเร็วในการโหลดเว็บไซต์ (Page Speed)
  4. ใช้งาน https เพื่อเพิ่มความปลอดภัยให้กับเว็บไซต์
  5. การตรวจสอบการตอบสนองต่อการใช้งานบนโทรศัพท์มือถือ (Mobile-Friendly)
  6. ตรวจสอบเนื้อหาที่ซ้ำกัน 
  7. แก้ไข ปรับปรุงเว็บไซต์ตาม Core Web Vitals
  • On-page SEO

สำหรับ On-page คือ การปรับปรุงเว็บไซต์จากภายในที่เน้นปรับปรุงพัฒนาคอนเทนต์ภายในเว็บไซต์ และหน้าเว็บไซต์เป็นหลัก เพื่อเพิ่มโอกาสให้คอนเทนต์บนเว็บไซต์ของเราติดอันดับการค้นหาบน Google ได้ ซึ่งองค์ประกอบหลัก ๆ ของการทำ On-page SEO คือ 

  1. การปรับปรุง Title Tag
  2. การปรับปรุง Slug
  3. การปรับปรุง Meta Description 
  4. การใส่ Heading Tag ในคอนเทนต์ หรือบทความ 
  5. การทำรูปภาพ และสื่อประกอบบทความ
  6. การทำ Internal Links 
  7. การปรับปรุงคอนเทนต์ให้สามารถใช้งานบนโทรศัพท์มือถือได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  • Off-page SEO

ส่วนการทำ Off-page SEO คือ การปรับปรุงเว็บไซต์จากภายนอก เพื่อช่วยดันอันดับเว็บไซต์ในหน้าการค้นหานั้นดีขึ้น ด้วยการทำ Backlink แล้วเชื่อมโยงกลับมาที่เว็บไซต์ ซึ่งลิงก์ที่เชื่อมโยงระหว่าง Backlink และเว็บไซต์ของเราสามารถเป็นได้ทั้งลิงก์ที่คุณสร้างขึ้นมาเอง หรือลิงก์ที่คนอื่นสร้างขึ้นมาแล้วเชื่อมโยงกลับมาที่เว็บไซต์ของคุณก็ได้ 

ซึ่งข้อดีของการทำ Off-page SEO นั้นมีหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น การช่วยทำให้คอนเทนต์จัดอยู่ในอันดับที่ดีขึ้น ช่วยเพิ่ม Organic Traffic ให้กับเว็บไซต์ ช่วยปรับคุณภาพของเว็บเพจให้ดีขึ้น ช่วยเพิ่ม Conversion Rate และยอดขาย รวมทั้งยังช่วยทำให้เกิดการรับรู้แบรนด์มากขึ้นด้วย 

  • Analyze & Optimize

การวิเคราะห์ผลลัพธ์เป็นสิ่งที่จะช่วยการันตีได้ว่าอันดับ SEO ของคุณอยู่ในทิศทางไหน มีจำนวน Traffic หรือ Conversion เติบโตขึ้นจากเดิมเท่าไหร่ เพราะเมื่อทราบถึงผลลัพธ์จะทำให้คุณสามารถจับทางได้ถูก ว่าควรจะปรับปรุง หรือต้องพัฒนาเว็บไซต์ในทางไหน เพื่อให้เว็บไซต์ติดอันดับ SEO ได้อย่างมีคุณภาพมากยิ่งขึ้น 

นี่คือการสอน ทำ SEO ฟรี ที่คุณสามารถลองทำตามด้วยตัวเองได้ง่าย ๆ มั่นใจได้เลยว่าผลลัพธ์ที่ได้จะสามารถช่วยดันเว็บไซต์ให้ติดอันดับได้อย่างแน่นอน แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น การจะทำให้เว็บไซต์ติดอันดับได้นั้น ไม่ได้อาศัยหลักการดังกล่าวในข้างต้นเพียงอย่างเดียว แต่ยังต้องอาศัยระยะเวลา 3-6 เดือน เพื่อให้ Google Bot เข้ามาเก็บรวบรวมข้อมูล และจัดอันดับเว็บไซต์ให้คุณด้วย 

สุดท้ายนี้ หากใครที่ไม่อยาก ทำ SEO ฟรี ด้วยตัวเอง ก็สามารถติดต่อ Common Ground Agency เป็นผู้ช่วยดูแลให้คำปรึกษา และลงมือทำ SEO เพื่อให้เว็บไซต์ติดอันดับได้อย่างมีคุณภาพ เพราะเรามีประสบการณ์ ความเชี่ยวชาญในการทำ SEO มานานกว่า 6 ปี หากสนใจให้เราดูแลสามารถติดต่อได้ที่

Tel : 081-426-6695
Email: [email protected]
Facebook Page: Common Ground