OKR คืออะไร ? ทำไมถึงสำคัญกับองค์กรสมัยใหม่
การตั้งเป้าหมาย และวัดผล ถือเป็นกระบวนการสำคัญที่ทุกองค์กรควรให้ความใส่ใจ เพราะ OKR เป็นตัวช่วยผลักดันองค์กรให้เติบโตขึ้นอย่างก้าวกระโดด ทำให้ OKR ได้กลายมาเป็นเครื่องมือหลักในการประเมินผลงาน เนื่องจาก เป็นเครื่องมือที่วัดผลได้อย่างชัดเจน และมีความยืดหยุ่นสูง เหมาะกับองค์กรยุคใหม่อย่างยิ่ง
บทความสาระน่ารู้ในวันนี้ Common Ground ขอพาเจ้าขององค์กรทุกท่านมาทำความเข้าใจกันว่า การวัดผลแบบ OKR คืออะไร และมีประสิทธิภาพต่อการประเมินผลภายในองค์กรอย่างไรบ้าง พร้อมแชร์เทคนิคสำคัญที่ช่วยให้การทำ OKR ประสบความสำเร็จยิ่งขึ้น หากพร้อมแล้ว เราไปดูกัน
เลือกหัวข้อที่ต้องการอ่าน
ทำความรู้จัก OKR คืออะไร ?
OKR (Objectives and Key Results) เป็นแนวคิดในการตั้งเป้าหมาย และตัวช่วยในการผลักดันองค์กรให้ไปถึงเป้าหมายที่วางไว้ ซึ่งองค์ประกอบแนวคิดของ OKR มีเพียงแค่เป้าหมาย (Objective) และตัววัดผลของความสำเร็จ (Key Results)
โดยผลลัพธ์นั้นจะวัดผลตามกรอบเวลาที่ชัดเจน อาจเป็นรายไตรมาส หรือรายปี อย่างไรก็ตาม การทำ OKR ไม่ใช่แค่ตั้งเป้าหมายที่ต้องการทำให้สำเร็จเท่านั้น แต่เป็นการตั้งเป้าหมายที่เกินตัว เพื่อผลักดันให้คนในองค์กรเติบโตอย่างก้าวกระโดด
ส่งผลให้การทำ OKR ได้รับความนิยมในแวดวงธุรกิจสตาร์ตอัป และเอเจนซี เนื่องจาก ทั้งสองธุรกิจมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาเมื่อเทียบกับสายงานอื่น สำหรับหลักการง่าย ๆ ในการตั้งเป้าหมาย OKR มีดังนี้
- กำหนด Objective และ KR ไม่เกิน 3-5 ข้อ โดยต้องกำหนดเป้าหมายที่ต้องการโฟกัสในแต่ละไตรมาสเท่านั้น เพื่อให้การวัดผล และติดตามผลมีประสิทธิภาพ
- ไม่ควรตั้งเป้าหมายที่ต่ำเกินไป เพราะบรรลุเป้าหมายได้ง่าย และไม่ก่อให้เกิดแรงผลักดัน หรือแรงกระตุ้นในการทำงาน
- ควรตั้งเป้าหมายให้สอดคล้อง กับเป้าหมายหลักขององค์กร
- เป้าหมาย OKR ของแต่ละแผนก หรือบุคคลไม่จำเป็นต้องเหมือนกัน ควรตั้งให้เหมาะสมกับลักษณะการทำงานของแต่ละแผนก
- การตั้งเป้าหมายที่ดี ไม่ควรตั้งเกินจากความเป็นจริงมากจนเกินไป แต่ควรอิงจากข้อมูลที่มีอยู่
OKR กับ KPI แตกต่างกันอย่างไรบ้าง ?
OKR (Objectives and Key Result) และ KPI (Key Performance Indicators) เป็นเครื่องมือที่ใช้ในการวัดผลการดำเนินงานขององค์กร ที่มีประสิทธิภาพ และช่วยให้องค์กรประสบความสำเร็จ แต่ก็มีจุดประสงค์ และลักษณะการใช้งานที่แตกต่างกัน ดังนี้
- การใช้งาน
การประเมิน OKR เป็นกระบวนการกำหนดเป้าหมายที่สำคัญ ซึ่งเป็นเครื่องมือที่มีความยืดหยุ่น และเน้นความโปร่งใส เพื่อให้ทุกคนในองค์กรเข้าใจเป้าหมายร่วมกัน ขณะที่ KPI เป็นตัวชี้วัดประสิทธิภาพ และผลงานภายในองค์กร โดยวัดผลผ่านตัวเลข หรือเปอร์เซ็นต์
- การกำหนดเป้าหมาย
การกำหนด OKR มาจากการระดมความคิดของพนักงาน และหัวหน้าแผนกเป็นส่วนใหญ่ รวมถึงนำเสนอไอเดียใหม่ ๆ ในการบรรลุเป้าหมาย เพื่อโฟกัสถึงความสำเร็จในอนาคต
ในส่วน KPI จะเป็นการกำหนดเป้าหมายแบบบนลงล่าง (Top-Down) โดยผู้บริหารจะกำหนดเป้าหมายหลักขององค์กร จากนั้นค่อยแยกลงไปยังแผนกต่าง ๆ ตามลำดับขั้น
- ลักษณะการทำงาน
ลักษณะการทำงานโดยใช้ KPI วัดผล มักมีความเฉพาะเจาะจง และเป็นตัวบ่งชี้ประสิทธิภาพของการทำงาน แต่ OKR เน้นไปที่ความยืดหยุ่น และช่วยส่งเสริมให้องค์กรมีเป้าหมายร่วมกันที่ชัดเจน
- ระบบค่าตอบแทนของพนักงาน
KPI ส่วนใหญ่จะเน้นที่การวัดผล และเชื่อมโยงกับผลตอบแทนของพนักงานโดยตรง เช่น เงินโบนัสประจำปี และการปรับเงินเดือน เป็นต้น ในขณะที่ OKR มุ่งเน้นที่การตั้งเป้าหมาย และการกำหนดตัววัดผลที่เหมาะสมกับสถานการณ์ โดยไม่เกี่ยวข้องกับผลตอบแทน
เทคนิคการวัดผลแบบ OKR ในองค์กร ให้ประสบความสำเร็จ
การทำ OKR จะไม่ประสบความสำเร็จเลย หากขาดการประยุกต์ใช้ให้เข้ากับตนเอง และองค์กร รวมถึงขาดการทำความเข้าใจกับการวัดผลแบบ OKR อย่างถี่ถ้วน
โดยเทคนิคทั้ง 5 ข้อนี้จะช่วยให้การวัดผล OKR ในองค์กรของคุณประสบความสำเร็จ พร้อมกับผลักดันองค์กรให้เติบโตขึ้นอย่างก้าวกระโดด
- ปรับความคิดของบุคลากร และองค์กร
ทั้งองค์กรต้องทำความเข้าใจก่อนว่าจุดประสงค์ของการทำ OKR คืออะไร และ OKR มีรายละเอียดอะไรบ้าง เพราะหากองค์กร หรือบุคลากรยังไม่เข้าใจ การนำ OKR มาใช้อาจสร้างความกดดัน หรือผลเสียมากกว่าผลดี ทั้งยังเสี่ยงที่เป้าหมายจะไม่ประสบผลสำเร็จ
นอกเหนือจากการทำความเข้าใจเรื่องพื้นฐานของการทำ OKR แล้ว ควรให้บุคลากรทุกคนเข้าใจด้วยว่า OKR เป็นการตั้งเป้าหมาย และแรงผลักดันในการบรรลุเป้าหมาย ไม่ใช่การประเมินผลการทำงานในแต่ละไตรมาส เหมือนกับการประเมินผลพนักงานประจำปี
- ตั้งเป้าหมายร่วมกันทั้งองค์กร
การตั้ง OKR ที่ดี และมีประสิทธิภาพ ทุกคนควรเข้าใจเป้าหมาย และตั้งเป้าหมายร่วมกันทั้งองค์กร เพื่อให้ทุกคนเข้าใจทิศทางการทำงานร่วมกัน และเมื่อ OKR ของทุกแผนกสอดคล้องกัน ก็ยิ่งช่วยให้เป้าหมายประสบความสำเร็จยิ่งขึ้น
อย่างไรก็ตาม ควรตั้งเป้าหมายบนพื้นฐานความเป็นจริง เพราะหากตั้งเป้าหมายที่สูงจนเกินไป อาจทำให้พนักงานรู้สึกท้อ และไม่ท้าทายต่อการเอาชนะ ส่งผลให้เป้าหมายไม่ประสบความสำเร็จ และยากต่อการกำหนด OKR ในครั้งถัดไป
- กำหนดบทบาท และเป้าหมายที่ชัดเจน
การกำหนดบทบาทของแต่ละฝ่าย รวมถึงขอบเขตการทำงาน และเป้าหมายในสิ่งที่ทำ ควรสอดคล้องกับการทำงานของแต่ละแผนก เพราะการกำหนด OKR ที่ชัดเจน ช่วยให้รู้ว่าการทำงานในแต่ละแผนกต้องโฟกัสกับอะไรบ้าง ทั้งยังช่วยให้เห็นภาพการทำงานของแผนกอื่น ๆ ด้วย
- มีการประเมินผลที่ถูกต้อง และชัดเจน
หลังจากที่กำหนดเป้าหมายในการทำ OKR ลุล่วงแล้ว อย่าลืมประเมินผลทุกครั้งหลังจบไตรมาส เพราะการประเมินผลเป็นตัวบอกว่า สามารถบรรลุเป้าหมายที่วางไว้ได้หรือไม่
ทั้งนี้ การประเมินผลต้องอยู่บนพื้นฐานข้อมูลที่ถูกต้อง ชัดเจน และเปิดเผยได้ เพื่อให้เกิดความน่าเชื่อถือ จนนำไปสู่การตั้ง OKR ที่มีประสิทธิภาพในครั้งต่อไป
- เชื่อว่างานมีความหมาย
จุดสำคัญที่ช่วยให้การวัดผลแบบ OKR ประสบความสำเร็จ คือ ต้องทำให้พนักงานเห็นถึงเป้าหมายของสิ่งที่องค์กรทำ ว่าองค์กรกำลังทำอะไร และต้องการเติบโตไปทิศทางไหนบ้าง
เพราะหากพนักงานไม่เข้าใจความหมาย เกี่ยวกับงานที่ตนเองทำ อาจก่อให้เกิดคำถามขึ้นมาว่าทำ OKR ไปทำไม ในเมื่อสุดท้ายบริษัทก็เติบโตขึ้นในทุกไตรมาส
เมื่อได้ทำความเข้าใจแล้วว่า OKR คืออะไร และมีความสำคัญต่อองค์กรยุคใหม่อย่างไรบ้าง เชื่อว่าผู้ประกอบการคงเห็นแนวทางการกำหนดเป้าหมายประจำไตรมาส เพื่อนำพาองค์กรให้ก้าวหน้าขึ้นไปอีกระดับ
ทั้งนี้ อย่าลืมให้ความสำคัญกับการสื่อสารภายในองค์กร เพราะการพูดคุยอย่างตรงไปตรงมา ช่วยให้การกำหนดเป้าหมาย และการทำงานดำเนินไปได้อย่างราบรื่นอยู่เสมอ
สุดท้ายนี้ สำหรับผู้ประกอบการหน้าใหม่ที่กำหนด OKR เสร็จแล้วเรียบร้อย แต่ยังไม่แน่ใจว่าควรสร้างสรรค์ผลงานอย่างไร ให้ประสบความสำเร็จตามเป้าหมายที่วางไว้
ลองให้ Common Ground เอเจนซีที่ปรึกษาการตลาด รวมทีมงานมากฝีมือ มาช่วยทำการตลาด และวางกลยุทธ์ให้แบรนด์ของคุณประสบความสำเร็จตามเป้าหมาย หากสนใจสามารถติดต่อมาได้ที่
Tel: 081-426-6695
Email: Enjoy@iamcommonground.com
Facebook Page: Common Ground