Google SGE คืออะไร ? และมีบทบาทต่อการทำ SEO ในไทยอย่างไร
ในยุคที่การทำ SEO (Search Engine Optimization) หรือการเพิ่มประสิทธิภาพของเว็บไซต์ ให้ติดอันดับในหน้าค้นหาของ Google ได้กลายเป็นกลยุทธ์สำคัญในการสร้างการเติบโตให้กับธุรกิจ รวมไปถึงการพัฒนา และการเปลี่ยนแปลงของเครื่องมือค้นหา ก็เป็นสิ่งที่ผู้เชี่ยวชาญ และนักการตลาดต้องจับตามองอยู่เสมอ
ซึ่งหนึ่งในเทคโนโลยีใหม่ ที่ถูกพูดถึงเป็นอย่างมาก คือ Google SGE (Search Generative Experience) เป็นฟีเจอร์ที่ใช้เทคโนโลยี AI ในการให้ข้อมูลจากผลการค้นหาที่ครอบคลุม และเข้าใจง่ายยิ่งขึ้น โดยฟีเจอร์นี้จะมีผลกระทบอย่างไรต่อการทำ SEO บ้าง และเราควรเตรียมตัวอย่างไร เพื่อให้พร้อมรับการเปลี่ยนแปลง ? บทความนี้จะมาทำความเข้าใจลึกลงไปในเรื่องนี้กัน ถ้าพร้อมแล้ว ไปเริ่มกันเลย
เลือกหัวข้อที่ต้องการอ่าน
ทำความรู้จัก SGE คืออะไร ? ทำไมคนทำ SEO ต้องรู้จัก
SGE เป็นฟีเจอร์ที่เปิดตัวอย่างเป็นทางการในงาน Google I/O 2023 โดยมีการนำเอาปัญญาประดิษฐ์ (AI) มาผสมผสานกับการค้นหา ผ่านเครื่องมือค้นหาของ Google เพื่อให้ผลการค้นหามีความสมบูรณ์ และครอบคลุมมากขึ้น
ซึ่งฟีเจอร์ใหม่นี้ แตกต่างจากการค้นหาแบบดั้งเดิม ที่แสดงผลเป็นลิงก์ของเว็บไซต์ต่าง ๆ แต่ SGE จะให้คำตอบที่เป็นข้อมูลแบบสรุป จากหลายแหล่งมาพร้อมกัน ทำให้ผู้ใช้งานสามารถเข้าใจข้อมูลได้รวดเร็ว โดยไม่ต้องคลิกเข้าไปยังเว็บไซต์หลาย ๆ แห่งเพื่อค้นหาข้อมูลด้วยตัวเอง
ตัวอย่างเช่น หากค้นหาว่า “how many type of content” (คอนเทนต์มีกี่ประเภท)
ผลลัพธ์แบบเดิม: คุณอาจพบลิงก์ไปยังหลายเว็บไซต์ ที่มีข้อมูลเกี่ยวกับประเภทของคอนเทนต์ เช่น วิธีใช้ประโยชน์จากประเภทของ Content หรือ 8 ประเภทของคอนเทนต์มีอะไรบ้าง เป็นต้น
ผลลัพธ์แบบ SGE: คุณจะได้รับข้อมูลสรุปจากหลายเว็บไซต์มาพร้อมกัน ทำให้ผู้ใช้งานไม่จำเป็นต้องคลิกเข้าไปในหลายเว็บไซต์ เพื่อค้นหาข้อมูลเอง เช่น คอนเทนต์มีหลายประเภท ได้แก่
- Infographics
- Case Studies
- E-books
- Videos
- Webinars
- Testimonials
- User-generated content
- Whitepapers
- Interactive content
พร้อมทั้งอาจแสดงแผนภาพ หรือสรุปประเภทคอนเทนต์ ที่แสดงในรูปแบบที่เข้าใจง่าย ซึ่งช่วยให้ผู้ใช้เห็นภาพรวมได้ดีขึ้น
ทั้งนี้ การทำงานของ SGE จะอาศัยเทคโนโลยี Generative AI ที่ใช้โมเดลภาษาขนาดใหญ่ เพื่อประมวลผล และให้ผลลัพธ์การค้นหาที่ครอบคลุม และลึกซึ้งยิ่งขึ้น นอกจากนี้ SGE ยังทำงานร่วมกับโมเดลปัญญาประดิษฐ์อื่น ๆ
เช่น MUM (Multitask Unified Model) และ Gemini เพื่อช่วยให้ผลลัพธ์การค้นหานั้นเชื่อมโยงกับข้อมูลในหลายมิติ ทำให้ผู้ใช้งานสามารถเห็นข้อมูลที่ครอบคลุม ทั้งเนื้อหาที่เป็นบทความ ข่าวสาร หรือการวิเคราะห์จากแหล่งข้อมูลที่เชื่อถือได้
Google SGE ส่งผลกระทบต่อการทำ SEO อย่างไร
การเปลี่ยนแปลงสำคัญที่มาพร้อมกับ SGE คือวิธีการแสดงผลการค้นหา ที่ทำให้ผู้ใช้งานไม่จำเป็นต้องคลิกเข้าไปดูข้อมูลในเว็บไซต์ เนื่องจาก SGE จะสรุปข้อมูลให้ในรูปแบบของ Snapshot ที่สั้น กระชับ และตรงประเด็น ซึ่งส่งผลให้ปริมาณการเข้าชมเว็บไซต์ (traffic) อาจลดลง แม้ว่าจะเป็นเว็บไซต์ที่อยู่ในอันดับต้น ๆ ของการค้นหา
อย่างไรก็ตาม การพัฒนาเนื้อหาเว็บไซต์ ยังคงมีความสำคัญมากในการทำ SEO เนื่องจาก AI ที่ SGE ใช้ในการสร้างสรุปนั้น ยังคงต้องพึ่งพาข้อมูลที่มีคุณภาพ และน่าเชื่อถือจากเว็บไซต์ต่าง ๆ ดังนั้น การเขียนบทความ หรือเนื้อหาที่มีคุณค่า และสร้างความน่าเชื่อถือให้กับผู้ใช้งาน จึงเป็นสิ่งที่ไม่ควรละเลย
นอกจากนี้ SGE ยังเน้นการสร้างคำตอบ ที่สามารถตอบโจทย์คำถามของผู้ใช้งานได้ในเชิงลึก และครอบคลุมหลายด้าน การที่เว็บไซต์ของคุณจะถูกเลือกให้เป็นแหล่งข้อมูลที่ AI ของ Google SGE นำไปใช้สรุปข้อมูลได้ เนื้อหาของคุณต้องมีคุณภาพสูง เข้าใจง่าย และมีความครอบคลุมในเรื่องที่เกี่ยวข้อง
หากอยากปรับกลยุทธ์ SEO ของคุณให้เหนือกว่าเดิม Common Ground Agency ผู้เชี่ยวชาญรับทำ SEO พร้อมผลักดันธุรกิจของคุณ ติดต่อเราวันนี้เพื่อเริ่มต้นความสำเร็จสู่หน้าแรกของ Google !
เทียบความแตกต่างระหว่าง SGE และ Featured Snippets
Google SGE และ Featured Snippets เป็นฟีเจอร์ที่มีวัตถุประสงค์คล้ายกัน ในการช่วยให้ผู้ใช้งาน Google ได้รับคำตอบจากการค้นหาอย่างรวดเร็ว แต่ก็มีความแตกต่างสำคัญ ในทั้งวิธีการทำงาน และการแสดงผล ดังนี้
1. หลักการทำงาน
- SGE: ใช้เทคโนโลยี AI และ Generative AI ในการสรุป รวมถึงวิเคราะห์ข้อมูลจากหลายเว็บไซต์ เพื่อให้คำตอบที่ครอบคลุมกว่า และแสดงผลเป็นสรุปที่เข้าใจง่าย
- Featured Snippets: จะดึงข้อมูลจากหน้าเว็บไซต์เดียวที่ Google เลือกมาโดยอัตโนมัติ เพื่อแสดงเป็นคำตอบในกล่องที่เรียกว่า “Snippet”
2. รูปแบบการแสดงผล
- SGE: จะแสดงเป็นข้อความสรุปยาวกว่า และครอบคลุมหลากหลายแง่มุม โดยข้อมูลที่แสดงออกมา จะมีความคล้ายกับการสรุปบทความ หรือการตอบคำถามอย่างละเอียด ซึ่งไม่จำเป็นต้องอิงจากเว็บไซต์เดียว
- Featured Snippets: ข้อมูลที่แสดงจะเป็นส่วนหนึ่งของหน้าเว็บที่ Google คิดว่าเป็นคำตอบที่ดีที่สุดในรูปแบบย่อ เช่น ข้อความสั้น ๆ หรือรายการแบบ Bullet Points เป็นต้น
3. ปริมาณข้อมูล
- SGE: ข้อมูลที่ได้รับจาก SGE จะมีรายละเอียดมากกว่า มีการอธิบายครบถ้วนในหลากหลายมุมมอง และมีลิงก์ไปยังแหล่งที่มา เพื่ออ่านข้อมูลเพิ่มเติม
- Featured Snippets: ข้อมูลมักจะสั้นกว่า และตอบคำถามในประเด็นใดประเด็นหนึ่งโดยเฉพาะ โดยมีลิงก์กลับไปยังเว็บไซต์ต้นทาง ที่มีคำตอบแบบละเอียด
แนะนำ 4 วิธีปรับตัว เพื่อให้เว็บไซต์ส่งผลดีต่อ Google SGE
การมาของ SGE ทำให้นักการตลาด และคนที่ทำ SEO จำเป็นต้องปรับกลยุทธ์ใหม่ ๆ เพื่อให้แข่งขันได้ในตลาดที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ซึ่งต่อไปนี้ คือข้อแนะนำในการปรับตัวให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น จะมีอะไรบ้าง มาดูกัน
- สร้างเนื้อหาที่มีคุณภาพ และเชิงลึกมากขึ้น
เมื่อ AI ของ Google สามารถสร้างสรุปข้อมูลได้จากหลายแหล่ง เว็บไซต์ของคุณจึงควรเน้นการสร้างเนื้อหาที่มีความรู้จริง เชื่อถือได้ และครอบคลุมในเรื่องนั้น ๆ อย่างลึกซึ้ง เพื่อให้เนื้อหาของคุณถูกนำไปใช้เป็นแหล่งข้อมูลที่ SGE นำมาแสดงผล
- พัฒนาเนื้อหาให้มีความเชื่อมโยง และเป็นเชิงสร้างสรรค์
เนื้อหาที่มีการเชื่อมโยงกับหลายแง่มุม และมีมุมมองที่สร้างสรรค์ จะมีโอกาสได้รับการเลือกแสดงผลจาก SGE และช่วยให้มีโอกาสสูงขึ้นในการปรากฏบนผลการค้นหา ตัวอย่างเช่น
หากคุณทำเว็บไซต์เกี่ยวกับการออกแบบตกแต่งบ้าน คุณสามารถเขียนเนื้อหาที่เชื่อมโยงหลายประเด็นเข้าด้วยกัน เช่น แนะนำเทรนด์การตกแต่งบ้านปี 2024 พร้อมคำแนะนำในการเลือกสีผนังที่สอดคล้องกับการใช้เฟอร์นิเจอร์ และแสงสว่างในห้องต่าง ๆ ซึ่งสิ่งนี้จะทำให้เว็บไซต์ของคุณถูกพิจารณาว่า เป็นแหล่งข้อมูลที่เชื่อมโยง และมีความครบถ้วนมากขึ้น
- ให้ความสำคัญกับประสบการณ์ผู้ใช้งาน (User Experience)
แม้ว่า SGE จะสรุปข้อมูลให้กับผู้ใช้งาน แต่ประสบการณ์ที่พวกเขาได้รับจากการเยี่ยมชมเว็บไซต์ยังคงมีความสำคัญ เช่น การออกแบบเว็บไซต์ให้มีความเป็นมิตรต่อผู้ใช้งาน อ่านง่าย และให้ข้อมูลที่ตรงตามความต้องการ จะช่วยเพิ่มโอกาสให้ผู้ใช้งานต้องการเข้ามาดูเนื้อหาฉบับเต็มในเว็บไซต์ของคุณ
- เพิ่มความสนใจในคำถามที่พบบ่อย (FAQs)
SGE ชอบแสดงข้อมูลที่เกี่ยวกับคำถาม หรือประเด็นที่ผู้คนสนใจ ดังนั้น การเพิ่ม FAQs หรือการสรุปเนื้อหาที่ตอบคำถามที่กำลังเป็นที่นิยม จะช่วยให้เว็บไซต์ของคุณมีโอกาสได้รับการแสดงผลสูงขึ้น
ขั้นตอนการเปิดใช้งาน Google SGE ทำอย่างไร
การเปิดใช้งาน SGE สามารถทำได้ตามขั้นตอนง่าย ๆ ดังนี้
- ลงชื่อเข้าใช้บัญชี Google
- เปิดเว็บเบราว์เซอร์ และไปที่หน้า Google Search
- เปิดใช้งานฟีเจอร์ SGE ใน Google Labs โดยคลิกที่ไอคอนรูปหลอดทดลอง “Search Labs” จากนั้นเปิดใช้งานฟีเจอร์ SGE
- เริ่มใช้งาน SGE เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดียิ่งขึ้น
สุดท้ายนี้ SGE ไม่ได้เข้ามาแทนที่ SEO แต่เป็นการเสริมประสิทธิภาพการค้นหา และช่วยให้นักการตลาดสามารถสร้างเนื้อหาที่ตรงเป้าหมายได้ดียิ่งขึ้น การมาถึงของ Google SGE อาจเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของวงการ SEO โดยที่บริษัทรับทำ SEO และคนทำงานในสาย Digital Marketing จะต้องปรับตัว และพัฒนาเทคนิคใหม่ ๆ เพื่อให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีนี้
ถึงแม้ว่า AI จะเข้ามามีบทบาทมากขึ้น อย่างไรก็ตาม การสร้างเนื้อหาที่มีคุณภาพ ต้องมีการคำนึงถึง Search Intent (เจตนาการค้นหา) และ User Experience ซึ่งยังคงเป็นหัวใจสำคัญของการทำ SEO ให้ประสบความสำเร็จ
ทั้งนี้ หากคุณอยากสร้างกลยุทธ์ SEO ที่ตอบโจทย์ และตรงตามความต้องการของผู้ใช้งาน รวมถึงสร้างเนื้อหาที่มีคุณภาพ และเข้าถึงผู้คนได้มากยิ่งขึ้น สามารถติดต่อ Common Ground เพื่อปรึกษา หรือใช้บริการได้ทันทีที่
Tel. 081-426-6695
Email: Enjoy@iamcommonground.com
Facebook Page: Common Ground