สอนทำ SEO เทคนิคคุณภาพ ดันเว็บไซต์ให้ติดอันดับ 1
เลือกหัวข้อที่ต้องการอ่าน
สำหรับใครที่อยากเริ่มทำ SEO บทความนี้ Common Ground จะมาสอนทำ SEO ตั้งแต่พื้นฐานแบบ Step by Step เพื่อช่วยให้คุณดันเว็บไซต์สู่อันดับต้น ๆ ของผลการค้นหาบน Google ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ถ้าพร้อมแล้ว มาเริ่มกันเลย!
SEO (Search Engine Optimization) คือ การปรับแต่งเว็บไซต์ เพื่อให้ติดอันดับบนเครื่องมือค้นหา อย่าง Google ซึ่งเป็นกลยุทธ์สำคัญในการทำการตลาดออนไลน์
เพราะ SEO จะช่วยให้เว็บไซต์ปรากฏในผลการค้นหาอันดับต้น ๆ ทั้งยังสร้างความน่าเชื่อถือให้ธุรกิจ และเพิ่มโอกาสในการขายสินค้า หรือบริการ ซึ่งจะส่งผลดีต่อธุรกิจของคุณในระยะยาว
สอนทำ SEO สำหรับมือใหม่ ยากไหม ?
การทำ SEO สำหรับมือใหม่ อาจดูเป็นเรื่องซับซ้อน และท้าทาย แต่ก็ไม่ใช่เรื่องยากหากคุณมีความตั้งใจ เพราะการเรียนรู้ทักษะใหม่ ๆ ไม่ว่าอะไรก็ตาม ต้องใช้เวลา และความพยายามกันทั้งนั้น
ทั้งนี้ ความยากของ SEO ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น ประสบการณ์ด้านดิจิทัล ความเข้าใจในธุรกิจของคุณ และการแข่งขันในตลาด ซึ่งต้องเข้าใจก่อนว่า SEO เป็นกระบวนการระยะยาว จึงต้องอาศัยทั้งความอดทน และการปรับปรุงอย่างสม่ำเสมอ
ดังนั้น หากคุณมีความมุ่งมั่น และตั้งใจในการเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง แม้จะเป็นมือใหม่ คุณก็สามารถประสบความสำเร็จได้
สอนทำ SEO ตั้งแต่เริ่มต้น มือใหม่ก็เข้าใจได้ !
ในวงการ SEO มักมีการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็ว เราจึงแนะนำให้คุณใช้ความรู้นี้เป็นพื้นฐาน พร้อมปรับตัวตามการอัปเดตของ Google อยู่เสมอ โดย Common Ground จะสอนคุณทำ SEO ตั้งแต่เริ่มต้นแบบ Step by Step เพื่อให้คุณเข้าใจ และนำไปใช้ได้จริง มาเริ่มกันเลย !
1. เข้าใจพื้นฐานการทำ SEO
รู้หรือไม่? ในยุคนี้ SEO เปรียบเสมือนกุญแจสู่ความสำเร็จ สำหรับทุกธุรกิจออนไลน์เลยก็ว่าได้ แต่อะไรคือหัวใจของ SEO ที่มีประสิทธิภาพ ? มาเจาะลึกกันเลย !
การทำ SEO ไม่ใช่แค่การติดอันดับบน Google แต่เป็นการสร้างประสบการณ์ที่ดี และทำให้เว็บไซต์ของคุณน่าสนใจสำหรับทั้งผู้ใช้ และ Search Engine ด้วย 3 ปัจจัยหลัก ๆ ดังนี้
- On-page SEO: สร้างเนื้อหาที่ตอบโจทย์ และเป็นมิตรกับ Search Engine
- Off-page SEO: สร้างความน่าเชื่อถือให้เว็บไซต์ โดยใช้ปัจจัยภายนอก (Backlinks)
- Technical SEO: สร้างรากฐานเว็บให้แกร่ง
นอกจากนี้ การเข้าใจว่า Google ทำงานอย่างไร จะช่วยให้คุณวางกลยุทธ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเป็นก้าวแรกสู่ SEO ที่ประสบความสำเร็จได้ โดยกระบวนการทำงานหลักของ Google ประกอบด้วย 3 ขั้นตอน ดังนี้
- Crawling คือ การที่ Googlebot สำรวจ และรวบรวมข้อมูลจากเว็บไซต์ต่าง ๆ โดยติดตามลิงก์ และตรวจสอบการเปลี่ยนแปลงของเนื้อหาอย่างต่อเนื่อง
- Indexing คือ การจัดเก็บ และวิเคราะห์ข้อมูลที่ได้จากการ Crawl
- Ranking คือ การจัดอันดับผลการค้นหา โดยพิจารณาจากปัจจัยต่าง ๆ เช่น ความเกี่ยวข้อง คุณภาพเนื้อหา และความน่าเชื่อถือของเว็บไซต์
2. Keyword Research
สิ่งจำเป็นอย่างแรก คือ การวิเคราะห์หาคีย์เวิร์ดที่มีความเกี่ยวข้องกับกลุ่มเป้าหมาย และเว็บไซต์ของคุณ เพราะการเลือกใช้คีย์เวิร์ดที่เหมาะสม จะช่วยให้เว็บไซต์ของคุณติดอันดับการค้นหา และเพิ่มปริมาณ Traffic ที่มีคุณภาพได้
นอกจากนี้ คีย์เวิร์ดยังสามารถแบ่งออกเป็น 3 ประเภทหลัก ๆ ได้แก่
- Seed Keyword (1 คำ)
- Niche Keyword (2คำ)
- Long tail Keyword (มากกว่า 3 คำ)
ซึ่งควรเลือกคีย์เวิร์ดที่มีคุณภาพ รวมถึงมีจำนวน Search Volume ที่ไม่สูง และไม่ต่ำเกินไป เพราะคีย์เวิร์ดที่มีการแข่งขันสูง จะทำให้เว็บไซต์ติดอันดับได้ยากกว่า
ทั้งนี้ เครื่องมือที่นิยมนำมาวิเคราะห์หาคีย์เวิร์ด ได้แก่ Google Keyword Planner, Ahrefs, และ SEMrush ซึ่งเครื่องมือเหล่านี้ จะช่วยหาคีย์เวิร์ดที่เหมาะสม รวมถึงวิเคราะห์คู่แข่ง และวางแผนกลยุทธ์ในการทำ SEO ให้กับเว็บไซต์ของคุณ
บทความที่เกี่ยวข้อง เครื่องมือทำ SEO ตัวช่วยทำให้เว็บไซต์ติดอันดับ
3. Competitor Analysis
การวิเคราะห์เว็บไซต์คู่แข่ง เพื่อให้เห็นภาพรวมของการแข่งขัน และรู้ถึงจำนวนคู่แข่งในแวดวงธุรกิจเดียวกัน นอกจากนี้ ยังช่วยให้คุณเข้าใจกลยุทธ์ที่คู่แข่งใช้ เพื่อนำไปปรับปรุง และพัฒนาเว็บไซต์ให้ดียิ่งขึ้น ซึ่งสิ่งที่คุณควรวิเคราะห์จากเว็บไซต์คู่แข่งเป็นหลัก ได้แก่
- การเช็กอันดับ Ranking ของเว็บไซต์
- การเช็กอายุโดเมน
- การเช็ก Mobile Friendly
- การเช็กจำนวนคนเข้าชมเว็บไซต์
- การเช็กความเร็วของเว็บไซต์
- การเช็กโครงสร้างเว็บไซต์
- การเช็ก Backlink
- และ การสำรวจรูปแบบการเขียนบทความ เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม นอกจากเช็กเว็บไซต์ของคู่แข่งแล้ว อย่าลืมเช็กเว็บไซต์ของตัวเอง เพื่อนำมาเปรียบเทียบ และวิเคราะห์ความแตกต่าง จะได้นำไปพัฒนา รวมถึงปรับปรุงเว็บไซต์ของคุณให้ถูกหลัก SEO มากยิ่งขึ้น
4. ออกแบบ Website Structure
การทำเว็บไซต์ให้ถูกใจ Google ควรมีโครงสร้างเว็บไซต์ที่ดี โดยโครงสร้างเว็บไซต์ คือ แผนผังเว็บไซต์ที่แสดงให้เห็นถึงข้อมูลสำคัญ ไม่ว่าจะเป็น จำนวนหน้าทั้งหมดของเว็บไซต์ เนื้อหาในแต่ละเพจ การเชื่อมโยงลิงก์ในแต่ละเพจ รวมถึงการจัดวางโครงสร้าง ว่าเป็นมิตรต่อผู้ใช้งานหรือไม่
หากคุณจัดระเบียบโครงสร้างเว็บไซต์ได้ดี และเป็นมิตรต่อผู้ใช้งาน จะช่วยสร้างประสบการณ์ที่ดีต่อการใช้งาน ทำให้เว็บไซต์มีโอกาสติดอันดับในหน้าแรกของการค้นหาได้มากขึ้น ซึ่งการวางโครงสร้างเว็บไซต์ มี 4 รูปแบบ คือ
- โครงสร้างเว็บแบบเส้นตรง (Linear Structure)
- โครงสร้างเว็บแบบต้นไม้ (Hierarchical Structure)
- โครงสร้างเว็บแบบเชื่อมโยงอย่างอิสระ (Web Linked Structure)
- โครงสร้างเว็บไซต์แบบผสม (Hybrid Structure)
อย่างไรก็ตาม การวางโครงสร้างเว็บไซต์ที่นิยมทำ และส่งผลดีต่อการทำ SEO มากที่สุด คือโครงสร้างเว็บไซต์แบบต้นไม้ เนื่องจาก สามารถสร้างเว็บไซต์ได้ ทั้งขนาดเล็กที่มีไม่ถึง 10 หน้าเพจ ไปจนถึงเว็บขนาดใหญ่อย่าง E-commerce ที่มีมากกว่า 100 หน้าสินค้า
ซึ่งโครงสร้างเว็บไซต์แบบต้นไม้ จะจัดเรียงเว็บเพจตามลำดับชั้น โดยมีหน้าหลักเป็นฐาน และแบ่งหน้าเพจต่าง ๆ เป็นหมวดหมู่ให้เข้าใจง่าย ทำให้ Google Crawler เข้ามาเก็บข้อมูล และนำไปจัดอันดับได้ง่ายขึ้น
5. Technical SEO
Technical SEO เป็นการเพิ่มประสิทธิภาพ ปรับปรุง และปรับแต่งโครงสร้างต่าง ๆ ของเว็บไซต์ ให้ตรงตามความต้องการของ Google หรือ Search Engine อื่น ๆ ตัวอย่างเช่น
- การวางโครงสร้างเนื้อหาให้มีความ SEO-Friendly เพื่อให้ Bot เข้าใจว่าเนื้อหาในเว็บไซต์เกี่ยวข้องกับอะไร
- การส่งแผนผังเว็บไซต์ (Sitemap) ให้กับ Google เพื่อให้ Bot เข้ามาอ่าน และนำข้อมูลไปจัดเก็บ
- การเพิ่มความเร็วในการโหลดเว็บไซต์ (Page Speed)
- ใช้ HTTPS เพื่อเพิ่มความปลอดภัยให้กับเว็บไซต์
- การทำให้เว็บไซต์แสดงผลได้ดีบนมือถือ (Mobile-Friendly)
- แก้ไขเนื้อหาที่ซ้ำกันในเว็บไซต์
- แก้ไข และปรับปรุงเว็บไซต์ตามมาตรฐาน Core Web Vitals เป็นต้น
6. On-page SEO
On-page คือ การปรับแต่งเนื้อหาบนหน้าเว็บไซต์ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ และคุณภาพของเนื้อหา รวมถึงเพิ่มโอกาสในการติดอันดับการค้นหาบน Google ซึ่งปัจจัยหลัก ๆ ที่ควรให้ความสำคัญ ได้แก่
- การปรับปรุง Title Tag
- การปรับปรุง Meta Description
- การปรับปรุง Slug
- การใส่ Heading Tag
- การทำรูปภาพ และสื่อประกอบบทความ
- การทำ Internal Links เป็นต้น
7. Off-page SEO
Off-page SEO คือ การปรับปรุงเว็บไซต์จากภายนอก เพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือ โดยการทำ Link Building หรือ Backlink เพื่อให้เว็บไซต์ได้ลิงก์อ้างอิงจากเว็บไซต์อื่นกลับมา
ซึ่ง Backlink สามารถเป็นได้ทั้งลิงก์ที่คุณสร้างขึ้นมาเอง หรือลิงก์ที่คนอื่นสร้าง แล้วโยงกลับมาที่เว็บไซต์ของคุณก็ได้ แต่ก็ใช่ว่าจะเป็นลิงก์จากเว็บไซต์ไหนก็ได้ เพราะถ้าอยากให้เว็บไซต์มีความน่าเชื่อถือ ก็ควรหา Backlink ที่มีคุณภาพตาม 3 ลักษณะ ดังนี้
- มาจากเว็บไซต์ที่มี Domain Authority สูง
- มาจากเว็บไซต์ที่มีคนใช้งานจริง ไม่ใช่เว็บไซต์ปลอม
- มาจากเว็บไซต์ที่เกี่ยวข้อง เช่น เว็บไซต์ที่เกี่ยวกับการท่องเที่ยว ก็ควรได้รับ Backlink มาจากเว็บไซต์ที่เกี่ยวกับการท่องเที่ยวเช่นเดียวกัน
8. Analyze & Optimize
การวิเคราะห์ผลลัพธ์ เป็นสิ่งที่ช่วยการันตีได้ว่าอันดับ SEO ของคุณอยู่ในทิศทางไหน มีจำนวน Traffic หรือ Conversion เติบโตขึ้นจากเดิมเท่าไหร่ เพราะเมื่อทราบถึงผลลัพธ์แล้ว จะจับทางได้ถูกว่าควรปรับปรุง หรือต้องพัฒนาเว็บไซต์ไปในทางไหนต่อ เพื่อให้เว็บไซต์ติดอันดับได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม การทำ SEO ให้ประสบความสำเร็จนั้น ต้องอาศัยระยะเวลา และความอดทน ดังนั้นหากคุณไม่มีเวลา หรือทรัพยากรในการทำ SEO ด้วยตัวเอง การพิจารณาใช้บริการจากผู้เชี่ยวชาญอาจเป็นทางเลือกที่ดีกว่า
อ่านเพิ่มเติม 11 พื้นฐานที่ควรรู้ เพื่อทำ SEO ให้ติดหน้าแรก Google
Common Ground เป็นบริษัทที่มีประสบการณ์ และความเชี่ยวชาญในการรับทำ SEO สามารถช่วยดูแล และให้คำปรึกษา รวมถึงวางกลยุทธ์ และดำเนินการมานานกว่า 7 ปี เพื่อให้เว็บไซต์ของคุณติดอันดับในผลการค้นหาได้อย่างมีประสิทธิภาพ หากสนใจให้เราดูแล สามารถติดต่อได้ที่
Tel : 081-426-6695
Email: [email protected]
Facebook Page: Common Ground